7 ข้อคิดที่ได้รับ จาก Coach Carter
ในวันนี้ผมไม่ได้มาเล่านิทานให้เพื่อนๆ ฟังนะครับ
แต่จะขอแชร์แนวความคิดดีๆ ที่ผมได้รับจากหนังเรื่องหนึ่งที่ผมชอบมากๆ
ชอบชนิดที่เรียกว่า ผมดูซ้ำไปซ้ำมา ปีละหลายรอบ และดูติดต่อกันมาหลายปีเลยทีเดียว
หนังรื่องนั้น มีชื่อว่า
สารบัญ
Coach Carter (2005)
ขอบอกก่อนนะครับว่า เนื้อหาที่ผมจะแชร์ในวันนี้ เพื่อให้ทุกๆ ท่านเห็นภาพได้มากขึ้น ก็จะมีเล่าในส่วนของเรื่องราวจากในหนังด้วย ขอแจ้งไว้ก่อนเลยนะครับ
หนังเรื่องนี้ สร้างจากเรื่องจริงของ ‘โค้ชคาร์เตอร์’ หรือ Ken Carter นำแสดงโดย Samuel L. Jackson หรือคนที่แสดงเป็น นิค ฟิวรี่ ในหนังของ marvel นั่นเอง
เขาเป็นโค้ชบาสเก็ตบอลทีมโรงเรียน ไฮสคูล ริชมอนด์
ซึ่งเมืองริชมอนด์ เป็นเมืองที่อยู่ในรัฐเวอร์จิเนีย เป็นถิ่นของคนผิวสี และประชากรส่วนใหญ่ของเมืองก็เป็นคนชนชั้นล่างด้วย ดังนั้นเมืองนี้จึงไม่ได้มีความโดดเด่นในเรื่องใดๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นระบบบริหารต่างๆ ปัญหาสังคม และปัญหายาเสพติด รวมถึงระบบของการศึกษาที่ล้มเหลว ล้มเหลวถึงขนาดที่สถิติในขณะนั้นคือ
เด็กนักเรียนในโรงเรียน ริชมอนด์ แค่ 50% ที่เรียนจบไฮสคูล และเด็กผู้หญิงจะเรียนจบเยอะมากกว่าเด็กผู้ชาย และผู้ที่จบทั้งหมดมีแค่ 6% ที่ได้เรียนต่อ และจากสถิติคนผิวสีถึง 33% จะถูกจับเข้าคุก ซึ่งนั่นคือสิ่งที่โค้ชได้มองเห็น เข้าใจ และต้องการที่จะดึงเด็กๆ เหล่านั้นให้ผ่านพ้นความเน่าเฟะของระบบนี้จากการมาเป็น โค้ช ให้กับทีมบาสทีมนี้นั่นเอง
คนทั้งเมืองริชมอนด์นี้ ก็มีความชื่นชอบในกีฬาบาสเกตบอลของโรงเรียนริชมอนด์อยู่แล้ว แต่พวกเค้าหวังเพียงแค่ให้เด็กๆ ชนะในเกมการแข่งขันกีฬาเท่านั้น แต่ไม่มีใครสักคน ที่สนใจอนาคตของเด็กเหล่านั้นจริงๆ แม้แต่ ผอ.ของโรงเรียนก็ตาม ซึ่งผลการแข่งขันเอง ก็ไม่ได้ดีเด่นอะไรเลย นั่นก็คือ ใน season ที่แล้ว ชนะ 4 แพ้ 22
โค้ชคาเตอร์ เข้ามารับหน้าที่เป็นโค้ชของทีม และสิ่งที่เค้ามองเห็นเป็นอันดับแรกก็คือ ทีมบาสทีมนี้ เป็นทีมที่ไม่มีความสามัคคี ไร้ระเบียบ ไม่มีทักษะและพื้นฐานการเล่นกีฬาที่ถูกต้อง และที่สำคัญ นักกีฬาเองก็มีผลการเรียนที่ย่ำแย่อีกด้วย
สิ่งแรกสุดที่โค้ชคาร์เตอร์ทำก็คือ เขาตั้งกฎว่าสมาชิกในทีมทุกคน
- จะต้องได้เกรดเฉลี่ย 2.3 ขึ้นไป
- ต้องเข้าเรียนทุกคาบ
- นั่งเรียนแถวหน้าสุด
- และยังต้องใส่สูทผูกไทเวลาไปแข่งอีกด้วย
จากกฏเหล่านี้ หากสมาชิกไม่เห็นด้วยก็จะไม่ได้เข้าร่วมทีม และหากสมาชิกเซ็นต์ยอมรับแต่ไม่สามารถทำได้ ก็ต้องออกจากการเป็นสมาชิกของทีมเช่นกัน
สิ่งที่โค้ชคาร์เตอร์ทำ คือมุ่งเน้นที่การสร้างวินัยให้กับเด็กๆ และสิ่งที่สำคัญนอกเหนือกว่านั้นคือ การทำให้เด็กๆ เข้าใจถึงสิ่งที่เรียกว่าการเคารพกฏเกณฑ์ การเป็นนักกีฬา ไม่ได้หมายความว่าเด็กๆ เหล่านั้น มีสิทธิพิเศษนอกเหนือกฏ
ในการสอนบาสของโค้ชนั้น เรียบง่าย แต่แฝงไว้ด้วยกลยุทธ์ สิ่งแรกๆ ที่โค้ชให้สมาชิกในทีมฝึกซ้อมทุกๆ วัน นั่นก็คือ การวิ่ง และ การวิดพื้น หรือแม้แต่การทำโทษก็ยังคงเป็นการวิ่ง และการวิดพื้นอยู่ดี นั่นก็เพราะ โค้ชรู้ว่า บาสเกตบอลนั้นเป็นกีฬาที่เน้นในเรื่องของความอึดมาเป็นอันดับแรก หากทีมมีความสามารถทางด้านร่างกายที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเจอกับปัญหาหรืออุปสรรคภายในเกม ร่างกายก็จะไม่เป็นปัญหาในการเล่น สมาธิของนักกีฬาจะแน่วแน่อยู่กับเกม ความแม่นยำในการชู้ตทำแต้มจะไม่ลดลง
จากนั้นโค้ชจึงสอนกลยุทธ์ให้แล้วเน้นการลงมือทำซ้ำ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนทีมสามารถใช้กลยุทธ์ต่างๆ คว้าชัยชนะในเกมการแข่งขันได้ตลอดทั้งฤดูกาล
Back to Basic
คำๆ นี้ คือสิ่งที่โค้ช ใช้ในการสอนและฝึกฝนนักกีฬาของเขา และคำๆ นี้ ก็เป็นคำที่ผมใช้บ่อยมากๆ ในปีนี้ ในการบริหารทีมของผมเอง เพราะจากหลายๆสิ่งหลายๆ อย่าง ที่เราได้กลับไปทบทวนในสิ่งที่ทำก็พบว่า ในบางครั้งหรือหลายๆ ครั้ง เรากำลังพยายามทำสิ่งที่ยากเกิดไป จนลืมว่า Basic ที่ง่ายๆ และได้ผลลัพธ์ก็ยังมีอยู่เหมือนกัน
กลับมาที่หนังเรื่องนี้ของเราต่อ
ตลอดระยะเวลาในการเป็นโค้ช โค้ชคาร์เตอร์ก็ต้องอดทนกับแรงกดดัน การต่อต้าน จากตัวนักกีฬา ครูอาจารย์ ผู้ปกครอง หรือแม้แต่ชาวเมือง ที่ไม่เห็นด้วยในวิธีการบริหารทีมของโค้ช
จนกระทั่ง มาถึงจุดที่ทำให้โค้ชคาร์เตอร์คนนี้เป็นข่าวดังไปทั่ว เมื่อปี 1991
นั่นก็คือ การตัดสินใจ ปิดโรงยิม งดการซ้อม และงดการแข่งขันของนักกีฬาทั้งหมด เพราะโค้ชจับได้ว่า ทั้งทีม ไม่ทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้ สมาชิกส่วนใหญ่ไม่เข้าเรียน และสมาชิกเกือบทั้งหมดยังได้ผลคะแนนไม่ผ่านเกณฑ์
อย่างที่ได้เล่าไปแล้วว่า ระบบต่างๆ ของเมืองนี้ค่อนข้างเน่าเฟะ ชุมชนและผู้ปกครองเอง ก็ไม่มีใครมองเห็นถึงความสำคัญสำหรับการเรียน ต่างก็คิดแต่เพียงว่า ในเมื่อเด็กเล่นบาสได้ดี ก็ให้เด็กเล่นบาสไป ส่วนเรื่องของระบบการศึกษาก็ไม่มีใครสามารถทำให้มันดีขึ้นได้ เพราะมันไม่เคยดีขึ้นมานานหลายปีแล้ว
ทำให้เมื่อโค้ชสั่งปิดโรงยิม จึงเกิดเหตุพิพาทกันจากคนทั้งเมือง ถึงขั้นต้องขึ้นศาลเพื่อพิจารณาและทำประชามติกันเลยทีเดียว และสุดท้าย ศาลก็ตัดสินให้โรงเรียนทำการเปิดโรงยิมต่อ ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นข่าวดังและโค้ชคาร์เตอร์ก็เป็นที่รู้จักกันไปทั่วเมื่อปี 1991 นั่นเอง
สำหรับโค้ชเอง ก็ต้องยอมรับในผลโหวต และเปิดโรงยิม ส่วนตัวโค้ชนั้นก็ตัดสินใจที่จะลาออกและจบเรื่องราวของการเป็นโค้ชในที่สุด
แต่สิ่งต่างๆ ที่โค้ชได้พยายามสอนนักเรียนทีมบาสมาตลอดนั้น ก็เป็นการจุดไฟเล็กๆ ในตัวเด็กๆ ให้มองเห็นความสำคัญของการเรียนหนังสือมากยิ่งขึ้น และเมื่อศาลตัดสินให้เปิดโรงยิม นักกีฬาเหล่านั้นก็ทำการปฏิวัติทันที โดยเด็กๆ เหล่านั้นไม่ยอมซ้อมกีฬา แต่กลับตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือต่อไปให้ได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แม้ว่าโรงยิมจะถูกสั่งเปิดแล้วก็ตาม
พวกเค้าสั่งเปิดโรงยิมได้ แต่พวกเค้าไม่สามารถสั่งให้พวกเราเล่นกีฬาได้ นี่คือประโยคที่นักกีฬาพูดกับโค้ชของพวกเขา
ในช็อตนี้ ดูกี่ทีก็ทำผมน้ำตาซึม
บางครั้ง เวลาที่เราทุ่มเททำในบางสิ่งอย่าง อย่างเต็มที่แล้วยังพบเจออุปสรรคมากมายหรือยังทำไม่สำเร็จสักที หากนั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง ก็ขอให้มั่นใจได้ว่า วันนึงสิ่งที่ได้ทุ่มเททำลงไปนั้น จะผลิดอกออกผลให้เราได้ชื่นใจได้แน่นอน เหมือนอย่างในตอนนี้ที่นักกีฬามีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว
และในตอนท้ายของหนังเรื่องนี้
ทีมริชมอนด์ ได้รับเชิญเข้าแข่งใน State Championship ซึ่งทีมริชมอนด์ไม่เคยได้เข้าแข่งทัวร์นาเม้นต์นี้เลย และทีมที่ต้องแข่งด้วย คือทีมอันหนึ่งของรัฐ
ในการแข่งขัน ทีมริชมอนด์สามารถแข่งขันได้สูสีกับทีมตัวเก็ง จนแต้มเสมอกันในนาทีสุดท้าย แต่ก็ต้องแพ้ไปอย่างเส้นยาแดงผ่าแปดในที่สุด
สุดท้าย
ถึงแม้ทีมริชมอนด์จะไม่ชนะในการแข่ง State Championship
แต่พวกเค้าสามารถชนะทุนจาก 5 มหาวิทยาลัย และ มีนักกีฬา 6 คนได้เรียนต่อ
ผมขออนุญาตสรุป 7 ข้อคิดที่ได้รับ จากการดูหนังเรื่องนี้นะครับ
1 อย่าดูถูกตัวเอง
เราต้องนับถือตัวเอง โค้ชได้สอนกับเด็กๆ ว่า การทำตัวเป็นอันธพาลเกเรนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เราดูเป็นคนดี ดูเป็นคนที่น่านับถือเลย หากเราต้องการให้คนอื่นนับถือเรา เราต้องเริ่มต้นที่การนับถือตัวเราเองให้ได้ก่อน และหัดนับถือคนอื่นให้เป็น จากนั้น คนอื่นๆ ถึงจะนับถือเรา
2 พอทีกับคำว่าแพ้
ณ จุดเริ่มต้นนี้ คุณต้อง Acting เหมือนผู้ชนะ คิดเหมือนผู้ชนะ แล้วคุณจึงจะชนะ ชนะในโรงยิม คือกุญแจที่จะออกไปชนะโลกข้างนอก
นี่คือประโยคแรก ที่โค้ชพูดกับทีม เหมือนเป็น Vision หรือการตั้งเป้าหมายให้กับทีมก้าวเดินสู่การชนะในการแข่งขัน
วันนี้เราในฐานะเจ้าของกิจการ ที่ต้องการนำพาทีมไปสู่ความสำเร็จ ก็ควรต้องเปิดใจ ในการเรียนรู้จากประสบการณ์จากผู้ที่ประสบความสำเร็จ พวกเขาทำกันอย่างไร พวกเขาคิดกันอย่างไร ใช้วิธีการใด เครื่องมือใด ก็ต้องเรียนรู้แล้วนำสิ่งนั้นมาปรับใช้กับทีมให้ได้
3 โอกาสในวิกฤติ
ในตอนต้น เมื่อโค้ชให้นักกีฬาเซ็นต์สัญญากับสมาชิก ปรากฏว่ามีสมาชิกที่ไม่ไปต่อ ไม่เซ็นต์สัญญา เดินออกไปหลายคน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นตัวทำแต้มจาก Season ที่แล้วทั้งนั้น จนทำให้สมาชิกที่เหลืออยู่ถึงกับหน้าถอดสีและวิตกกังวล แต่สิ่งที่โค้ชบอกกับสมาชิกที่เหลืออยู่นั่นก็คือ ถึงเวลาที่เราจะสร้างตัวทำแต้มใหม่กันแล้ว
หากลองมองย้อนกลับมาในธุรกิจของเรา ตัวอย่างที่ผมพบเจออยู่บ่อยๆ ก็คงเป็นเรื่องพนักงานที่เก่งๆ ลาออก หรือปัญหา Turn Over ของพนักงาน ก็ต้องมองให้เห็นโอกาส ในการที่จะสร้างผู้นำคนใหม่ในทีมขึ้นมาให้ได้
4 ครูจะปรากฏ เมื่อลูกศิษย์พร้อม
โค้ชจะไม่สอน จนกว่าสมรรถภาพร่างกายจะพร้อมที่จะให้โค้ชสอน
นั่นคือสิ่งที่โค้ชจะพยายามบอกว่า ไม่ว่าจะเล่นบาส หรือทำอะไรก็แล้วแต่ Basic คือเรื่องสำคัญที่สุด หลายต่อหลายคนที่ผ่านเรื่องราว ผ่านประสบการณ์มามากมาย ก็มักจะลืม Basic ซึ่งนั่นคือระเบิดเวลาที่ทำให้เราไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้ไกลเท่าที่ควรจะเป็น
5 ครบเครื่อง เรื่องเก่งในทุกมิติ
สิ่งหนึ่งที่โค้ชพร่ำบอกกับเด็กๆ คือ ถึงแม้จะเล่นกีฬาเก่ง จะมีโอกาสได้ไปต่อ ไปเป็นนักกีฬาในระดับมหาวิทยาลัยได้ แต่จะต้องเรียนดีด้วย จึงจะสามารถคว้าโอกาสนั้นไว้ได้
เพราะว่าโอกาสไม่ได้มาหาเราเสมอไป เราต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอ พร้อมในทุกๆ โอกาส พร้อมในการที่จะคว้าโอกาสนั้นมาไว้ให้ได้
6 ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้
แม้ว่าสถิติของทีมบาส หรือของเมืองและชุมชนที่ผ่านมาจะย่ำแย่ขนาดไหนก็ตาม โค้ชก็สามารถใช้เวลานานเป็นหลักเกือน ในการเปลี่ยนแปลง ทำในสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ให้เป็นไปได้
การสร้างวินัยให้ชีวิต ทำการเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอในทุกๆ วันถึงแม้จะเป็นเพียงวันละนิด ก็สามารถประสบความสำเร็จได้
7 พลังของทีม
หนังเรื่อง Coach Carter เป็นแบบอย่างที่ดี ที่บอกเราว่า ความสำเร็จมันเกิดจากการเล่นเป็นทีม แพ้เป็นทีม ชนะเป็นทีม ล้มเหลวด้วยกัน สำเร็จไปด้วยกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องการเรียน คุณจะเรียนดีโดยไม่คอยดึงเพื่อนร่วมทีมขึ้นมาไม่ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตามพวกคุณต้องรับผิดชอบเป็นทีม
และนี่ข้อคิดที่ได้จากการดูหนังเรื่อง Coach Carter ของผม
ฝากไว้สุดท้ายสำหรับวันนี้ ดูหนังดูละคร แล้วอย่าลืมย้อนดูตัวเองกันด้วยนะครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก :
- https://www.georgefox.edu/journalonline/winter05/lockout.html
- https://coachcarterleadingteams.wordpress.com/characters/coach-carter/